Search

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Steve Jobs ผู้พลิกหน้าประวัติศาสตร์แห่งเทคโนโลยี

การเป็นคนดีหรือเป็นคนเก่ง ไม่ได้เกิดเพราะความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์เสมอไป
หรือ แม้แต่ชาติกำเนิด ก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จในชีวิตของใครได้
แต่กลับกลาย.เป็นการล้มที่ไม่ยอมแพ้..ที่สร้างให้เกิดวิสัยทัศน์อันกว้างไกล
ให้คนธรรมดาหนึ่งคน...กลายเป็นตำนาน
steve jobs 1995-2011
ผู้ก่อตั้ง Apple ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ด้วยวัย 56 ปี เขาต่อสู้กับโรคร้ายตลอดปีที่ก่อนการเสียชีวิตเขาลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ สตีฟ จ๊อบส์ หรือว่าอันที่จริงโรคมะเร็งตับที่เขาเคยรักษา ก่อนที่เขาจะกลับมารับตำแหน่งใน apple นั้นยังไม่ได้หายขาด

และในวันที่ สตีฟ จ๊อบส์ เสียชีวิต โฮมเพจของ Apple เปลี่ยนมาเป็นภาพแบบเต็มหน้า Steve Jobs และข้อความ "Steve Jobs 1955-2011." เบื้องหลังเป็นคำไว้อาลัย ถึงการสูญเสีย Jobs ที่กล่าวถึง การสูญเสียวิสัยทัศน์ และ นวัตกรรมอันอัจฉริยะ ของ Apple เลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยความเป็น Jobs นั้นเรียกได้ว่าพิเศษกว่าที่ใครๆในโลกจะคิดถึงได้ ซึ่งข้อนี้คนที่เคยติดตาม หรือ อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ Jobs จะรู้ดีถึงเรื่องนี้ และข้อความนั้นคือ....

"Apple has lost a visionary and creative genius, and the world has lost an amazing human being,".

"Those of us who have been fortunate enough to know and work with Steve have lost a dear friend and an inspiring mentor. Steve leaves behind a company that only he could have built, and his spirit will forever be the foundation of Apple."
Steve Job จากไปหลังการขึ้นเวทีประกาศ iPhone 4S เพียงหนึ่งวันเท่านั้น และครอบครัวของ Steve Jobs ได้บอกกล่าวถึงการจากไปของสตีฟ จ๊อป ที่จากไปอย่างสงบ ท่ามกลางญาติมิตรในครอบครัว
"Steve died peacefully today surrounded by his family. In his public life, Steve was known as a visionary; in his private life, he cherished his family. We are thankful to the many people who have shared their wishes and prayers during the last year of Steve’s illness, a website will be provided for those who wish to offer tributes and memories.

"We are grateful for the support and kindness of those who share our feelings for Steve. We know many of you will mourn with us, and we ask that you respect our privacy during our time of grief. "

ข่าวของ Jobs กระจายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว แม้แต่ประธานาธิบดี โอบามาและภรรยา ก็ได้ส่งข้อความแสดงความเสียใจ และยังกล่าวว่า Steve Jobs เป็นนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง ที่กล้าคิดกล้าทำ ในสิ่งที่แตกต่าง อย่างเชื่อมั่น ในการจะเปลี่ยนแปลงโลก

"Michelle and I are saddened to learn of the passing of Steve Jobs." President Obama said in a written statement.
"Steve was among the greatest of American innovators - brave enough to think differently, bold enough to believe he could change the world, and talented enough to do it."

ชีวิตเหมือนนิยายของ สตีฟ จ๊อบส์ เริ่มต้นอย่างไม่ราบรื่นนัก เมื่อสตีฟน้อยเกิด เขาถูกยกให้เป็นลูกบุญธรรมของครอบครัว จ๊อบส์ เพราะพ่อ อับดุลฟัตตะห์ จันดาลี นักศึกษาชาวซีเรีย กับ แม่ โจแอน ซิมป์สัน ทั้งสองยังเป็นนักศึกษาวัยรุ่น ไม่มีความพร้อมหลายประการ ทั้งๆ ที่ตอนแรกหนุ่มสาวทั้งคู่ผู้เป็นพ่อแม่แท้จริงได้พยายามจะยกให้ครอบครัวอื่นที่มีความพร้อมและมีการศึกษาสูง
เพราะทั้ง พอล กับ คลาร่า จ๊อบส์ ไม่ได้จบ ไฮสคูล หรือมหาวิทยาลัยใดๆ เป็นชนชั้นแรงงาน ที่อาศัยอยู่ในย่าน ซิลิคอนวัลเลย์ แต่ทั้งพอลและคลาร่าก็ได้ให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่น ที่จะเลี้ยงดูสตีฟ อย่างดี และจะส่งให้เข้าเรียนจนจบในมหาวิทยาลัยให้ได้
สตีฟเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นของพ่อแม่บุญธรรม และแม้ว่า ซิลิคอนวัลเลย์ เป็นแหล่งโรงงานและคนยากจน แต่ก็อยู่ท่ามกลางอุตสาหกรรมผลิตซอฟต์แวร์ และบริษัทไอทีชั้นนำมากมาย เบ้าหลอมสามารถทำให้สิ่งต่างๆ ขึ้นรูปได้ สถานที่อยู่กับคนที่แวดล้อมก็เช่นกัน
พอล จ๊อบส์ พ่อบุญธรรมของเขา ทำงานเป็นช่างเครื่องให้กับบริษัทผลิตเลเซอร์ ซึ่งก็เป็นเรื่องโชคดีที่ทำให้สตีฟ ได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือ มีทักษะความเป็นช่าง และได้เรียนรู้เรื่องอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จากเพื่อนบ้านอย่าง แลร์รี่ แลง วิศวกรด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานให้กับ ฮิวเลตต์ แพคการ์ด, คุณครูหัวก้าวหน้าที่ จ๊อบส์บอกว่าเป็นเหมือนนักบุญในชีวิต ครูเท็ดดี้ เข้าใจในตัวตนของสตีฟ ช่วยทุกวิถีทางเพื่อให้เขายืนอยู่บนโลกใบนี้ได้แบบเข้าใจ
ตอนอยู่เกรดสี่ จ๊อบส์ฉายแววความเป็นอัจฉริยะ ด้านวิศวกรรม ออกมา ครูจึงเสนอให้เขาข้ามไปเรียนชั้นมัธยม Crettender Middle School แต่ที่นี่เขาถูกเด็กเกเรในโรงเรียน รังแกบ่อยครั้ง จนวันหนึ่ง เขาได้ขอร้องพ่อแม่บุญธรรมว่า ถ้าเขาไม่ได้ย้ายไปเรียนที่อื่น เขาก็จะไม่ไปเรียน พ่อแม่ยอมทำตามใจเขา ครอบครัวจ๊อบส์ จึงได้ย้ายไปอยู่ ลอสอัลตอส และส่งจ๊อบส์ เข้าเรียนที่ Cupertino Junior School และที่นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จที่จะมีในอนาคตของ จ๊อบส์
steve jobs
ยิ่งเขาโตมากขึ้นความสนใจในอิเล็กทรอนิกส์ก็มากขึ้น ตามวัยที่โตขึ้น และเครื่องมืออิเล็กทรอนิคส์ที่เขาเคยพูดถึง “ฮีทคิท” ก็เป็นอีกสิ่งที่ จ๊อบส์ หลงใหลเอามาก
“ฮีทคิทพวกนี้ มาพร้อมกับคู่มือการประกอบส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน และ แจกแจงไว้อย่างชัดเจน คุณสามารถทำได้ด้วยตัวของคุณเอง ผมอยากบอกว่า มันเป็นสิงที่ให้อะไรเราได้หลายอย่าง ทำให้เราเข้าใจว่ามีอะไรอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่เสร็จสมบูรณ์นี้และมันทำงานอย่างไร

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะมันได้รวมเอาทฤษฎีการจัดการต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่เราเห็นรอบๆ ตัวในจักรวาลแห่งนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ลึกลับ เป็นสิ่งที่เกิดจากกระบวนการสร้างสรรค์ในตัวคนเรานี่เอง ไม่ใช่เวทย์มนต์ใดๆ
ภายใต้ความไม่รู้ของคนคนหนึ่ง มันนำมาซึ่งความเชื่อมั่นในตัวเองที่ยิ่งใหญ่ ความเชื่อมั่นที่มาจากการสำรวจตรวจตราและเรียนรู้ให้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งๆขึ้น ในความซับซ้อนของสิ่งต่างๆ รอบตัว และชีวิตในวัยเด็กของผมก็โชคดีมากที่เป็นอย่างนั้น”
ช่วงมัธยมปลาย สตีฟ เข้าเรียน ที่ Homstead High School เลือกเรียนวิชาอิเล็กทรอนิกส์ และทำงานที่ โรงงานฮิวเลตต์ แพคการ์ด แล้วชีวิตของจ๊อบส์ก็ได้พบกับเพื่อนที่อนาคตคือผู้ร่วมกันพลิกโลกใบนี้ เมื่อเพื่อนบ้าน บิล เฟนานเดส ได้แนะนำให้เขาได้พบเพื่อนรุ่นพี่ที่ชำนาญด้านคอมพิวเตอร์ สตีเฟ่น วอซเนียก ตอนที่ทั้งสองรู้จักกัน สตีฟ อายุ 14 ส่วน วอซ อายุ 19 ทั้งสองคนมีความชอบและความคิดที่คล้ายๆ กัน คุยกันเรื่องระบบอิเล็กทรอนิกส์ และ วอซ นี่แหล่ะที่ต่อมาคือผู้ที่ร่วมกับจ๊อบส์ในการก่อตั้ง แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ที่สุด จ๊อบส์ ก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรีด สำเร็จตามคำมั่นสัญญาที่ ครอบครัวจ๊อบส์ให้ไว้กับ โจแอน แต่จ๊อบส์ก็ตัดสินใจหยุดเรียน ประการแรก ค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยรีดแพงมาก เงินที่พ่อแม่บุญธรรมหามาต้องแลกกับการทำงานหนักมาก และเขารู้สึกว่าสิงที่เขากำลังเรียนอยู่ในสถาบัน ไมได้ช่วยให้เข้ารู้เลยว่าจะทำอะไรต่อไปในชีวิต
หลังพักการเรียน เขาต้องอาศัยนอนที่พื้นห้องของเพื่อน หารายได้โดยการเก็บขวดโค้กไปแลกเป็นส่วนลด 5 เซนต์ ต้องเดินทางไกลกว่า 7 ไมล์เพื่อร่วมกิจกรรมและรับอาหารดีๆ หนึ่งมือที่โบสถ์ Here Krishna จากการใช้ชีวิตแบบนี้ จ๊อบส์ รู้ว่ามันไม่เพียงไม่สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆได้ มันยังไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เขากลับเข้าไปเรียนอีกครั้งโดยลงเรียนเฉพาะสาขาการประดิษฐ์ตัวอักษร ซึ่งเป็นสาขาที่สนใจจริงๆ และช่วงนี้แหล่ะ เขาได้พบกับมุมมองความคิดที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ จ๊อบส์เริ่มศึกษา “พุทธศาสนานิกายเซน” เขาอ่านวรรณกรรมหลายเล่มมาก และ เล่มที่มีอิทธิพลต่อชีวิตความคิดของ สตีฟ จ๊อบส์ คือ “Zen Mind” และ ”Beginner’s Mind” ของอาจารย์ ซุนริว ซูซูกิ
เขาเริ่มฝึกสมาธิในห้องนอนแคบๆ ที่อยู่ร่วมกับ แดเนียล คอตกี เขาเรียนอยู่ปีครึ่ง ก็หยุดเรียนถาวรและไม่ได้กลับไปเรียนอีก หลังจากลาออก
People think focus means saying yes to the thing you've got to focus on.
But that's not what it means at all.
It means saying no to the hundred other good ideas that there are.
You have to pick carefully.
คนส่วนใหญ่คิดว่าการมุ่งมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
คือการตอบรับทุกแนวทางที่จะนำพาไปสู่ปลายทางความมุ่งหมายนั้น
มันไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลยสักนิด
เพราะจริงๆ มันคือการที่คุณต้องปฎิเสธไอเดียดีๆ อีกนับร้อยที่มี
โดยการเลือกขึ้นมาเพียงหนึ่ง
จ๊อบส์ ก็ทำงานเป็นช่างเทคนิคใน Atari ต่อมาเขาได้ขอพักงาน เพื่อเดินทางไปค้นหาเกี่ยวกับการรู้แจ้งทางศาสนาพุทธนิกายเซนใน อินเดีย เป็นเวลา 1 เดือน พร้อมกับ แดเนียล คอตคี เขากลับมาพร้อมกับการเป็นพุทธศนิกชนเต็มตัว สวมเสื้อผ้าแบบอินเดียโบราณ โกนศีรษะ ทานมังสวิรัติ และไปยังศูนย์ พุทธศาสนานิกายเซนที่ ลอสอัลตอส อยู่เสมอ
เขากลับเข้าทำงานใน Atari และได้รับมอบหมายให้ออกแบบ Circuit Board โดยเสนอ ให้ค่าตอบแทนเพิ่ม ทุก 100 ดอลล่าร์ ต่อการลดชิพ 1 ตัว จ๊อปส์ ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการออกแบบ Circuit มากนัก จึงตกลงกับ วอซ ซึ่งตอนนั้นทำงานอยู่ที่ ฮิวเลตต์ ว่าจะแบ่งโบนัสให้เท่ากัน ถ้าวอซ สามารถลดชิพลงได้ ในที่สุด วอซ สามารถลดจำนวนชิพลงได้ 50 ตัว (ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถถอดแบบไปทำซ้ำในการผลิตได้ แต่ Atari ก็จ่ายให้ตามที่ตกลง
ในปี 1976 สตีฟ อายุได้ 21 ปี เขากับ วอซ ได้ลาออกจากบริษัท แล้วใช้โรงรถบ้านตัวเองตั้งบริษัท Apple Computer โดยร่วมกับเพื่อนอีกคน โรนัลด์ เวย์น พวกเขาช่วยกันคิดค้นสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรก Apple I ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 666.66 ดอลล่าร์ หรือราว 2,600 ดอลล่าร์ ถ้าเทียบเป็นค่าเงินปัจจุบัน

หลังจากนั้น อีก 1 ปี Apple II ก็ออกสู่ตลาด และประสบความสำเร็จอย่างมาก ในตลาด Home Computer ถึงตอนนี้ Apple Computer ก็กลายเป็นผู้ผลิตสำคัญในวงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
ในปี 1980 Apple ก็วางตลาด Apple III ถึงแม้ว่าประสบความสำเร็จน้อยกว่าเดิม แต่ Apple ก็กลายเป็น บริษัทมหาชน มีรายได้นับพันล้านเหรียญสหรัฐ
I was worth over $1,000,000 when I was 23
and over $10,000,000 when I was 24,
and over $100,000,000 when I was 25,
and it wasn't that important
because I never did it for the money.

ผมหาเงินได้ หนึ่งล้าน ดอลลาร์ เมื่ออายุ 23
และเพิ่มมากกว่า สิบล้านดอลลาร์ เมื่ออายุ 24
และมากกว่า หนึ่งร้อยล้านดอลลาร์ เมื่ออายุ 25
และนั่นมันไม่ได้สลักสำคัญอะไร เพราะว่าทุกสิ่งที่ผมทำ ผมไม่ได้ทำเพื่อเงิน
เมื่อบริษัท กำลังเติบโต จ๊อบส์ จึงต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารเพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระ คนๆ นั้น คือ จอห์น สกัลลีย์ จาก Pepsi-Cola ซึ่งจ๊อบส์ได้กล่าวท้าทาย จอห์นในการพบกันครั้งแรก และทำให้กลายเป็นวาทกรรมที่โด่งดัง ว่า..
“"Do you want to sell sugar water for the rest of your life, or do you want to come with me and change the world?"

"คุณต้องการจะใช้ชีวิตที่เหลือไปกับการขายน้ำใส่น้ำตาล หรือ คุณจะมาเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้กับผม"

Steve Jobs and Bill Gates(MacWorld Expo)

Jobs จากไปจริง แต่วาทะกรรม แรงบันดาลใจ งานสร้างสรรค์ ที่ส่งต่อให้เพื่อนร่วมโลก มีมากมาย เขาคือ มนุษย์ที่เยี่ยมยอดคนหนึ่ง ในประวัติศาสตร์โลกเลยทีเดียว

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นิทานหนูน้อยกับร่มสีแดง

ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ฝนแล้งมานาน ทำให้ชาวบ้านเพาะปลูกไม่ได้ พืชผลที่ได้ตระเตรียมไว้ก็เสียหาย
Temple

พระจึงระดมชาวบ้านในหมู่บ้านร่วมกันทำพิธีขอฝน โดยนัดมารวมกันและทำพิธีในวัด

มีเด็กน้อยคนหนึ่งแทรกตัวอยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่มาร่วมพิธีขอฝน แต่เพราะเจ้าหนูตัวเล็กมากจึงไม่มีใครสังเกตุเห็น

แต่สิ่งที่อยู่ในมือเจ้าหนูน้อยทำให้พระชี้ไปที่เจ้าหนูน้อย แล้วพูดอย่างตื่นเต้น

"หนูน้อยนั่นทำให้อาตมารู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก"

ชาวบ้านมองตามก็เห็นหนูน้อยยืนถือร่มสีแดงอยู่

"วันนี้ เรามารวมกันเพื่ออธิษฐานขอฝน
แต่กลับไม่มีใครสักคนเอาร่มมาเลย
แต่ดูหนูน้อยนี้ซิเธอถือร่มมาร่วมพิธีด้วย"

ทุกคนนิ่งเงียบกันไปชั่วครู่ และแล้ว

เสียงปรบมือก็ดังสนั่นหวั่นไหวประสานกับน้ำตาของความซาบซึ้งใจ


child and red umbrella

เด็กเล็ก ๆ เธอเล็กเพียงแค่ร่างกาย หัวใจของพวกเธอยิ่งใหญ่นัก เธอมีจิตใจรัก และความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่
และเราอาจหลงลืมไปแล้วว่า  เด็กเล็กๆ คนนี้ก็เคยอยู่ในตัวเรามาก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่พบปะ ระหว่างการเดินบนเส้นทางของชีวิต ทำให้เราทอดทิ้งสิ่งดีๆ ที่เราเคยมีบางสิ่งไป


You might also like:

ก่อกองไฟ

เทียนไข 2 เล่ม
แนวคิดแบบอินเดีย

นิทานอินเดีย

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นิทานเรื่องเทียนไข 2 เล่มที่ส่องทางและส่องใจ

เทียนไข 2 เล่ม


ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีหญิงโสดคนหนึ่งย้ายมาอยู่ใหม่

เวลาผ่านไปไม่นานเธอก็เริ่มรู้ว่าเพื่อนบ้านมีใครบ้าง และครอบครัวทึ่อยู่ข้างบ้านเธอเป็นของหญิงหม้ายที่เลี้ยงดูลูกอีกสองคน หญิงหม้ายมีฐานะยากจนมาก


อยู่มาคืนวันหนึ่ง ไฟฟ้าเกิดดับ หญิงโสดกำลังจะจุดเทียนไข ก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูบ้าน
เมื่อเธอเปิดประตูก็พบว่า เป็นเด็กลูกของหญิงหม้ายข้างบ้านนั่นเอง
เด็กน้อยถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น "คุณน้า คุณน้า ในบ้านคุณน้ามีเทียนไขมั้ย"

หญิงโสดคิดอยู่ในใจ "บ้านเขาจนถึงขนาดไม่มีเทียนไขเลยรึ ช่างเขาเถอะ ถ้าเราให้ไป เดี๋ยวได้คืบจะเอาศอก"
เธอจึงตอบหนูน้อยไปแบบมะนาวไม่มีน้ำว่า "ไม่มี!"

ขณะที่หญิงโสดกำลังจะปิดประตู ก็เห็นเจ้าหนูยังยืนยิ้มอยู่

"นึกแล้วว่าไม่มี!" เสียงเล็กๆ พูดขึ้นมา

พอพูดจบ หนูน้อยก็ควักเทียนไข 2 เล่มออกจากอกเสื้อ

ก่อกองไฟขับไล่ความมืด
Photo by Pissanu Aumrod
"แม่ของหนู ห่วงว่าคุณน้าอยู่บ้านคนเดียว คงไม่มีเทียนไข เลยให้ผมเอามาให้คุณน้า 2 เล่ม"

เพียงคำพูดซื่อๆ ของเด็กน้อย ทำให้หญิงโสด รู้สึกสะเทือนใจจนน้ำตาคลอ เผลอโอบกอดเด็กไว้แน่น


น้ำใจที่เด็กน้อยหยิบยื่นให้ ช่างน่าชื่นใจ เพราะใจเด็กใสสะอาด และ เทียนไข ก็ยังเป็นเทียนที่จะส่องสว่างได้ทั้งบนโลกใบนี้ และในใจใครได้อีกหลายๆ คน


You might also like:

child and red umbrella
-------------------
หนูน้อยร่มสีแดง
แนวคิดแบบอินเดีย
-------------------
นิทานอินเดีย